โอ ระยอง 0894014403 มีแค่องค์นี้องค์เดียว ด่วน !!!
Amulet
พระเครื่องและเครื่องราง
"เหรียญพิธีดี คณาจารย์ดังร่วมปลุกเสก "หลวงพ่ออาคม อินทสโร
วัดดาวนิมิตร ต.ซับสมอทอด อ.บึงสามพัน จ.เพชรบูรณ์
พระเกจิอาจารย์สุดยอดอาคมขลังแห่งเมืองมะขามหวาน
ผู้เป็นเจ้าของตำหรับนะฤชาและตะกรุดโทนคู่ชีวิตอันลือลั่นสมรภูมิเขาค้อและ
ภูหินร่องกล้าในสมัยก่อน
ของดีของท่านได้คุ้มชีวิตเหล่าทหารหาญมานักต่อนักแล้วเหรียญเจ้าสัวของ ท่านได้สร้างขึ้นเมื่อปี 2536 โดยใช้เหรียญเจ้าสัวของ หลวงปู่บุญ วัดกลางบางแก้วที่มีราคาเรือนแสนอันโด่งดังเป็นต้นแบบ โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อนำเงินไปสร้างพระอุโบสถที่ยังสร้างไม่แล้วเสร็จในขณะ นั้นการสร้างเหรียญของท่านนั้นนับได้ว่าสร้างถูกต้องตามพิธีกรรมทุก ประการ และยังมีพิธีกรรมทางพุทธศาสนาที่ไม่เคยมีงานพุทธาภิเษกใดทำมาก่อน นั่นก็คือ การสวดปาฏิโมกข์ให้พระภิกษุฟังเพื่อทำจิตใจให้บริสุทธิ์ มีศีลครบ 227 ข้อก่อนทำการปลุกเสก และที่สำคัญเหรียญเจ้าสัวของ พลวงพ่ออาคมยังได้ผ่านพิธีปลุกเสกใหญ่ๆมาแล้ว 4 งาน รวมคณาจารย์ที่ร่วมปลุกเสกเหรียญนี้ 108 คณาจารย์ด้วยกัน อาทิ พลวงพ่อเปิ่น วัดบางพระ , หลวงปู่คำพันธ์ วัดธาตุมหาชัย ผู้เสกหินให้กลายเป็นพระธาตุแจกแก่ทหารหาญ , พลวงพ่อคูณ วัดบ้านไร่, หลวงพ่อนิล วัดครบุรี, พลวงพ่อพุธ วัดป่าสาละวัน, พลวงพ่อคง วัดตะคร้อ, พลวงพ่อหยอด วัดแก้วเจริญ ผู้สำเร็จวิชาไหมเจ็ดสี, พลวงพ่อทองคำ วัดท่าทอง จ.อุตรดิตถ์, พลวงพ่อผัน วัดแปดอาร์ม ผู้มีญาณแก่กล้าแม้ขมวดชายผ้ายังยิงไม่ออก, ครูบาสร้อย แห่งพระบาทห้วยต้ม ผู้สะกดระเบิดจากพม่าให้กลายเป็นเศษหินธรรมดา, หลวงพ่อ ม.ล. ทวีศักดิ์ ผู้มีกระแสจิตแก่กล้าเสกน้ำมนต์จนเดือด , หลวงพ่อโง่น วัดพระบาทเขาลวก ผู้มีทิพย์จักขุ สามารถหยั่งรู้ดิน ฟ้า อากาศ เป็นต้น และยังได้รับการปลุกเสกเดี่ยวโดย พลวงพ่ออาคมอีก 3 วันเต็มๆ ประวัติย่อๆหลัง จากอุปสมบทอย่างต่อเนื่องเมื่ออายุครบ 20 ปี แล้วหลวงพ่อก็ได้เดินทางไปศึกษาบาลีธรรมบท ในกรุงเทพมหานคร โดยพักจำพรรษาที่วัดสระเกศ 3 พรรษาด้วยกัน และได้เปลี่ยนสำนักเรียนอีก 2-3 แห่งคือวัดสุทัศน์ และวัดมหาธาตุ แต่แล้วในปี พ.ศ. 2490 ได้เกิดสงครามมหาเอเชียบูรพาขึ้น ประเทศไทยได้รับผลกระทบค่อนข้างรุนแรง เกิดวิกฤติ ข้าวยากหมากแพง จากกรุงเทพมหานคร หลวงพ่อก็ได้โยกย้ายกลับขึ้นไปทางภาคเหนือที่จังหวัดเชียงใหม่ หลบภัยอดอยากจากสงครามโดยจำพรรษาอยู่ที่วัดพระสิงห์ อ.เมือง จ.เชียงใหม่ 2 พรรษา“ก้าวแรกสู่แดนมะขามหวาน นครพ่อขุนผาเมือง”ปี พ.ศ. 2494 หลวงพ่อได้ออกธุดงค์จากจังหวัดเชียงใหม่ล่องใต้ตามไม้หมอนรถไฟ และข้ามน้ำข้ามห้วยปีนเขามาถึงอำเภอหล่มสักจังหวัดเพชรบูรณ์ โดยจำพรรษาครั้งแรกที่วัดไพรสณฑ์วรารามและได้รับมอบหมายจากเจ้าอาวาสให้เป็น ครูสอนบาลีธรรมเพราะในขณะนั้น หลวงพ่อได้เปรียญธรรม 4 ประโยค และในปี พ.ศ.เดียวกันนี้ หลวงพ่อก็ได้รับแต่งตั้งให้เป็นเจ้าคณะตำบลลุ้งน้ำเต้า อ.หล่มสัก และจุดนี้คือจุดหักเหให้ชีวิตในสมณเพศของหลวงพ่อ เป็นไปในการเผยแผ่พระศาสนา อบรมปฏิบัติธรรม จริยธรรม แก่พระภิกษุสามเณรในเขตการปกครอง ตลอดจนการเผยแผ่พระพุทธศาสนา โดยการเทศน์สั่งสอน อุบาสก อุบาสิกา และประชาชนทั่วไป จนทำให้ชื่อเสียงในการเป็นพระธรรมถึกของหลวงพ่อโด่งดังไปทั่วอำเภอและใกล้ เคียงในปีรุ่งขึ้น พ.ศ.2495 หลวงพ่อก็ได้รับความไว้วางใจ จากคณะสงฆ์จังหวัดเพชรบูรณ์แต่งตั้งให้เป็นพระธรรมฑูต ของจังหวัดเพชรบูรณ์ มีหน้าที่ออกเผยแผ่ความรู้แก่ประชาชนทั่วไป ตลอดจนพระภิกษุและสามเณรในเขตจังหวัดเพชรบูรณ์และใกล้เคียง และเพื่อสะดวกในการปฏิบัติหน้าที่ หลวงพ่อจึงต้องจำพรรษาในจังหวัดซึ่งเป็นศูนย์กลางการเผยแผ่ ณ วัดมหาธาตุ พระอารามหลวงประจำจังหวัด ซึ่งเป็นวัดที่หลวงพ่ออยู่จำพรรษามากที่สุด ก่อนที่จะไปดำรงตำแหน่งเจ้าคณะอำเภอบึงสามพันช่วง ที่อยู่จำพรรษาที่วัดมหาธาตุ เพชรบูรณ์ หลวงพ่อได้ศึกษาวิชาทางโลกเพิ่มเติมจนได้รับสิทธิให้เข้าสอบวิชาครู และสอบได้ในประกาศนียบัตรจากกระทรวงศึกษาธิการ หลักสูตร “ครูมลพิเศษ” และนับเป็นรูปแรกของพระภิกษุในจังหวัดเพชรบูรณ์ และเพราะวิสัยชอบศึกษาความรู้ในทุก ๆ แขนง เท่าที่โอกาสจะอำนวยให้จนเป็นผู้คงแก่เรียน รู้จริง ปฏิบัติจริง ด้วยเหตุนี้ หลวงพ่อจึงได้รับโปรดประทานจากสมเด็จพระสังฆราชาฯ ให้ดำรงตำแหน่ง “พระวินัยทรในเขตภาคเหนือ” มีหน้าที่ดูแลความเป็นระเบียบของพระภิกษุสามเณรให้อยู่ในระเบียบวินัยและกฎ ของมหาเถรสมาคม เขตรับผิดชอบ 8 จังหวัดทางภาคเหนือตอนล่าง อาทิ พิจิตร, นครสวรรค์, กำแพงเพชร, สุโขทัย, อุตรดิตถ์, พิษณุโลก, ตากและเพชรบูรณ์ หลวง พ่อมหาอาคมอยู่ในตำแหน่ง “พระวินัยทร” ตั้งแต่เริ่มแรก จนถึงเมื่อยกเลิกระบบการปกครองของสงฆ์ในปี พ.ศ. 2507 นับเป็นพระวินัยทรรูปสุดท้ายของจังหวัดเพชรบูรณ์12 ปี แห่งการธุดงควัตรและวิชาคาถาอาคมนับ ตั้งแต่ปี พ.ศ.2505-2517 หลวงพ่อตั้งปณิธานที่จะออกธุดงควัตร บำเพ็ญเพียรปฏิบัติธรรมและศึกษาด้านเวทมนต์คาถาจากพระเกจิอาจารย์ต่าง ๆ เพิ่มเติม โดยเริ่มต้นจากภาคเหนือ นับแต่ พิจิตร, พิษณุโลก, สุโขทัย ข้ามภูพระวอที่ตาก ไปแม่สอดและข้ามแม่น้ำเมยเข้าไปพม่า จากนั้นจึงวกไปทางตะวันออกเฉียงเหนือทางจังหวัดเลย มุ่งอีสานข้ามแม่น้ำโขงไปฝั่งลาว แขวงจำปาศักดิ์ แล้วลงภาคใต้ที่ประจวบฯ ลุยขึ้นเขาสามร้อยยอดต่อไปอำเภอไชยา จังหวัดสุราษฎร์ธานี ปักกลดแถบเขาโตนงาช้างของนครศรีธรรมราช, ยะลาและข้ามไปปาดังเบซาร์แดนมาลายูหลวง พ่อใช้เวลาการเดินทางธุดงค์ศึกษาศาสตร์ต่าง ๆพร้อมทั้งบำเพ็ญเพียรกรรมฐาน และสมาธิจิตกลางป่าดงดิบนานถึง 12 ปีเต็ม ๆ ได้วิชาความรู้ด้านเวทมนต์คาถา จากพระเกจิอาจารย์ผู้เรืองวิชาอาคมหลายรูป ทั้งฝากตัวเป็นศิษย์ และทั้งแลกเปลี่ยนวิชาอักขระยันต์ต่าง ๆ ตามแต่โอกาสจะอำนวยให้ เช่น ปี พ.ศ. 2508 ขณะธุดงค์ไปจังหวัดตาก ข้ามภูพระวอไปอำเภอแม่สอด ได้ไปขอศึกษาวิชาคงกระพันชาตรี เพิ่มเติมกับ “ครูบากัญชัย” หรือ พระครูศิริรัตนาภรณ์ เจ้าอาวาสวัดมาตานุสสรณ์ บ้านแม่กึ๊ดหลวง ฉายา เทพเจ้าลุ่มแม่น้ำเมยและ ในปีเดียวกันนี้ หลวงพ่อก็ได้ตัว “นะ” สำคัญยิ่งมาหนึ่งตัว นะตัวนี้หลวงพ่อเคยนำมาสักให้กับลูกศิษย์คนหนึ่งปรากฏว่าเมื่อเด็กคนนี้โต ขึ้นมา ถ่ายรูปทำบัตรประชาชนไม่ติด ต้องมาสักแก้จึงถ่ายรูปทำบัตรประชาชนได้ นะตัวดังกล่าวคือ “นะลือชา”หลวง ปู่แพง วัดสิงห์หารบ้านสะพือ อุบลราชธานี ศิษย์เอกเทพเจ้าภูเขาควายที่ลือลั่น “สมเด็จรุน” หลวงพ่อได้ร่ำเรียนวิชา ฝังตะกรุดทองคำใต้ท้องแขน และฝังแก้วมณี 4 ดวง (แก้วมณี โชติ-แก้วไพฑูรย์-แก้วปัทมราช-แก้ววิเชียร) คาถาเหล่านี้เป็นคาถาสารพัดนึก ใช้ได้ อยู่ยงคงกระพันมหาอุด แคล้วคลาด เมตตามหานิยม แก้คุณไสยทุกประเภทหลวง พ่อเดิม วัดหนองโพธิ์ นครสวรรค์ สุดยอดพระเกจิในอดีต ได้มอบยันต์และคาถากำกับโดยผ่านศิษย์เอกของท่านรูปหนึ่ง ซึ่งปักกลด อยู่ตรงรอยต่อของอำเภอท่าตะโก นครสวรรค์และเพชรบูรณ์ และหลวงพ่อมหาอาคมได้ไปพบเข้าพอดี นะของหลวงพ่อเดิมที่หลวงพ่อได้รับมา คือ “นะ ซ้อนหัว” ซึ่งหลวงพ่อมหาอาคมได้นำลงในตะกรุดทุกดอกของท่านที่มีการจัดสร้างหลวง พ่อพริ้ง วัดโบสถ์โก่งธนู ลพบุรี คือ พระเกจิอาจารย์อีกรูปหนึ่งที่หลวงพ่อได้ไปขอศึกษาวิชาอาคมโดยถวายตัวเป็น ศิษย์ ซึ่งหลวงพ่อพริ้ง ได้เมตตามอบคาถา “ประสานกระดูก” ให้หลวงพ่อทำน้ำมันวิเศษ 108 รักษาประชาชนได้สารพัดโรคหลวง พ่อใช้ จังหวัดอุตรดิตถ์ ศิษย์เอกหลวงพ่อแช่ม วัดฉลอง ภูเก็ต ได้มอบตำราและคาถาการสร้างยันต์ตะกรุดโทน “คู่ชีวิต” ให้เมื่อครั้งหลวงพ่อธุดงค์ผ่านจังหวัดอุตรดิตถ์และ เมื่อต้นปี 2513 เมื่อหลวงพ่อข้ามเขารังไปยังอำเภอชนแดน เพื่อกราบนมัสการเยี่ยมหลวงพ่อทบ ที่วัดพระพุทธบาทชนแดน เพราะทราบข่าวว่ามีคนร้ายบุกขึ้นไปปล้นทรัพย์หลวงพ่อทบบนกุฏิและคนร้ายได้ ยิงหลวงพ่อทบถึง 4 นัด แต่ลูกปืนไม่ออก หลวงพ่อได้กราบเรียนหลวงพ่อทบว่า ขณะที่คนร้ายยิงหลวงพ่อทบได้ใช้คาถาอะไร ปืนคนร้ายจึงยิงไม่ออก หลวง พ่อทบท่านมีความเมตตา และชอบพอนิสัยหลวงพ่อมหาอาคมอยู่ก่อนแล้ว จึงได้ท่องคาถาให้หลวงพ่อมหาอาคมฟัง 1 เที่ยว แล้วลองให้หลวงพ่อท่องให้ฟัง ปรากฏว่าหลวงพ่อมหาอาคมท่องได้ถูกหมดและแม่นยำ หลวงพ่อทบจึงได้บอกว่าเอาไปใช้ดูเป็นคาถาดับไฟดับปืนให้เป็นน้ำ ซึ่งก่อนหน้านี้หลวงพ่อมหาอาคมก็เคยได้คาถา “เมตตาค้าขายดี” ของหลวงพ่อทบมาก่อนแล้ว โดยผ่านโยมผู้หญิงกลางคนหนึ่งที่เป็นศิษย์หลวงพ่อทบ ซึ่งโยมผู้นั้นมีอาชีพค้าขาย ต้องการค้าขายดี ร่ำรวย จึงได้พาลูกและครอบครัวไปกราบขอพึ่งบารมีหลวงพ่อทบ ซึ่งท่านได้เมตตาเขียนเป็นตัวหนังสือขอมลงในกระดาษแทนผ้ายันต์ เพื่อให้ไปบูชา เมื่อได้คาถามาแล้วโยมผู้นั้นอ่านไม่ออก ก็นำคาถาบทนั้นมาให้หลวงพ่อมหาอาคมอ่านและแปลให้ฟัง หลวงพ่ออ่านและแปลจนเข้าใจและท่องจำได้ขึ้นใจ เมื่อมีโอกาสพบหลวงพ่อทบจึงท่องให้ฟัง ซึ่งหลวงพ่อทบบอกว่าใช่ ความจำมหาดีมาก ฉันยกให้ลองเอาไปใช้ดูนะ...หลวงพ่ออาคม...
หลวง พ่อมหาอาคมถึงแก่มรณภาพด้วยโรคชราในปี พ.ศ. ๒๕๔๗ นับเป็นการสูญเสียพระเถระผู้ปฎิบัติดีปฎิบัติชอบไปอีกรูปหนึ่ง สุดท้ายนี้จะได้นำเอาคำสั่งสอนของหลวงพ่อมาลงไว้เพื่อเป็นอนุสรณ์ดังนี้ "มนุษย์และสัตว์ในโลกนี้ เขาเหล่านั้นมาเกิด
เขาไม่รู้ว่าชาติความเกิดเป็นทุกข์ ชราความแก่เป็นทุกข์
พยาธิความป่วยไข้เป็นทุกข์ มรณะ ความตายก็เป็นทุกข์
เกิดมาแล้วโตขึ้นมาจึงเห็นความทุกข์ จากการเกิด แก่ เจ็บ ตาย
ถ้าเขารู้คงไม่มาเกิดและไม่มีใครอยากเกิดด้วย
เกิด แก่ เจ็บ ตาย สี่อย่างนี้มาพร้อมกันตั้งแต่เกิด
ถ้าไม่เกิด ก็ไม่แก่ ถ้าไม่แก่ก็ไม่เจ็บ ถ้าไม่เจ็บก็ไม่ตาย
เขาเรียกกันว่าธรรมชาติ เป็นธรรมดาของโลกต้องเป็นไปอย่างนั้น
ขันธ์ทั้ง ๕ (ได้แก่ รูป เวทนา สัญญา สังขารและวิญญาณ)
ไม่มีเจ้าของ ไม่มีผู้สร้าง ไม่มีผู้เสวย ไม่มีผู้ตั้งมั่น ไม่มีผู้ดำเนิน
(ดังนั้นจึงไม่ควรยึดมั่นถือมั่นในขันธ์ว่าเป็นตัวเรา
และไม่ควรยึดมั่นสิ่งทั้งหลายว่าเป็นของเรา)"
พยาธิความป่วยไข้เป็นทุกข์ มรณะ ความตายก็เป็นทุกข์
เกิดมาแล้วโตขึ้นมาจึงเห็นความทุกข์ จากการเกิด แก่ เจ็บ ตาย
ถ้าเขารู้คงไม่มาเกิดและไม่มีใครอยากเกิดด้วย
เกิด แก่ เจ็บ ตาย สี่อย่างนี้มาพร้อมกันตั้งแต่เกิด
ถ้าไม่เกิด ก็ไม่แก่ ถ้าไม่แก่ก็ไม่เจ็บ ถ้าไม่เจ็บก็ไม่ตาย
เขาเรียกกันว่าธรรมชาติ เป็นธรรมดาของโลกต้องเป็นไปอย่างนั้น
ขันธ์ทั้ง ๕ (ได้แก่ รูป เวทนา สัญญา สังขารและวิญญาณ)
ไม่มีเจ้าของ ไม่มีผู้สร้าง ไม่มีผู้เสวย ไม่มีผู้ตั้งมั่น ไม่มีผู้ดำเนิน
(ดังนั้นจึงไม่ควรยึดมั่นถือมั่นในขันธ์ว่าเป็นตัวเรา
และไม่ควรยึดมั่นสิ่งทั้งหลายว่าเป็นของเรา)"
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น
หมายเหตุ: มีเพียงสมาชิกของบล็อกนี้เท่านั้นที่สามารถแสดงความคิดเห็น